Category Archives: การท่องเที่ยว

ชมความงามของธรรมชาติที่กาญจนบุรี

กาญจนบุรี

นั่งประวัติศาสตร์ไทยและเคลื่อนผ่านความงามตามธรรมชาติที่กาญจนบุรี – จังหวัด 130 กิโลเมตรทางตะวันตกของใจกลางกรุงเทพฯ สะพานรถไฟสายมรณะที่ขึ้นชื่อในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นักท่องเที่ยวจะได้มุมมองใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย

เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติเอราวัณเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกที่สวยงาม สปาปลา เดินป่า ดูนกที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือเยี่ยมชมน้ำตกไทรโยคในน้ำตกที่สวยที่สุดในพื้นที่ตกลงมาจากหินปูน เยี่ยมชมเขตรักษาพันธุ์ช้างและให้บริการดูแลช้างควบคู่ไปกับคนงานและอาสาสมัคร อย่าลืมตรวจสอบแผนการเดินทางและนั่งแบบไปเช้าเย็นกลับ เพื่อที่คุณจะได้เดินทางไปยังกาญจนบุรีได้

เยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสตร์สงครามที่สะพานรถไฟสายมรณะไทย-พม่า สะพานรถไฟมรณะไทย-พม่า กรุงเทพมหานคร อาจเป็นหนึ่งในสถานที่ท่อง เที่ยวไทย ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกาญจนบุรีต้องไปที่สะพานรถไฟสายมรณะไทย-พม่า เดิมสร้างโดยชาวญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

การรุกรานของญี่ปุ่นทำให้เกิดการสร้างสะพานนี้ น่าเสียดาย ที่คร่าชีวิตทหาร เชลยศึก และผู้บริสุทธิ์ ปัจจุบัน แลนด์มาร์คแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่อึมครึมและเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย อย่าลืมแวะไปที่พิพิธภัณฑ์รถไฟสายมรณะเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างทางรถไฟและโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์อื่นๆ

เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดเพื่อสัมผัสประสบการณ์พิพิธภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร ผู้เข้าชมจะเดินผ่านบริเวณที่เป็นหินเชลยศึกจะต้องทำงานถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน

นั่งรถตุ๊กตุ๊กโดยรูดซิปตามสถานที่ เที่ยวไทย ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่นในการนั่งรถตุ๊กตุ๊กของจริง

ไม่ว่าจะเป็นนั่งตุ๊ก-ตุ๊กตอนกลางคืน เดินผ่านแผงขายอาหารข้างทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือเป็นนั่งวันเดียวที่จะพาคุณไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น วัดโพธิ์ วัดประยุรวงศ์สวัสดิ์ หรือตลาดดอกไม้ นั่งตุ๊กตุ๊กจะพาคุณไปอย่างไม่ต้องสงสัย เฉพาะเว็บไซต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังนำคุณไปสู่สไตล์ไทยแท้ๆ อย่าลืมตรวจสอบนั่งรถตุ๊ก-ตุ๊กที่ดีที่สุดที่นี่ และจองล่วงหน้าเพื่อการวางแผนที่ง่ายขึ้น

ทัวร์พม่าพาเที่ยววัดพระหินขาว

myanmar-0006

ทัวร์พม่า เคยพาท่านไปมนัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติพม่ามาก็หลายครั้งหลายหน มาครานี้ ทัวร์พม่าจะอาจจะพาไปชมอีกหนึ่งความงามของประเทศชาติพม่าที่วัดพระหินขาว พร้อมบอกเล่าประวัติศาสตร์อันยาวเป็นเวลาช้านานของวันนี้ หากท่านพร้อมแล้วตามมาเที่ยวพม่ามาได้เลย

วัดพระหินขาว หรือว่าที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image” พระหินขาวนี้สร้างจากหินขาวที่มีสภาพมันวาว สีขาวสะอาดสะอ้านพร้อมกับไม่มีตำหนิ    สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นเลี้ยวฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูพร้อมด้วยประทานความเจริญความล้ำหน้า นอกจากนี้คงมีการนำหินที่เหลือมาสลักคือพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่ พื้นที่ด้านหลังพระพุทธรูปอีกด้วย จากนั้นชมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองของประเทศชาติพม่าในอาณาเขตใกล้กันศาสนสถานที่สำคัญพร้อมด้วยศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ใน เมืองหงสาวดี คือพระธาตุเก่าแก่อายุกว่า 1,200 ปี เคยเสียหายทลายลงมาเพราะว่าแผ่นดินไหวเมื่อ พ.ศ. 2473 ใช่หรือไม่เมื่อ 74 ปีที่แล้ว ต่อมาได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2497 สมัยปัจจุบันพระธาตุมุเตามีความสูงประมาณ 125 เมตร พระราชวังหงสาวดี หรือเปล่า Kanbawzathadi Palace สมัยก่อนพระราชวังของ พระเจ้าบุเรงนองกยอดิน นรธาที่คนไทยรู้จักในดีในชื่อของผู้ชนะสิบทิศ สิ่งปลูกทำไม่ว่าจะจะเป็น ตำหนักที่บรรทมพร้อมทั้งท้อง พระโรงที่ออกว่าราชการซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังเดี๋ยวนี้ พร้อมด้วยเคยคือที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งคงทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกัน ในอดีตพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นไปในปี พ.ศ. 2109 มีผังเกือบคือรูปสี่เหลี่ยม กำแพงแต่ละด้านยาวประมาณ 1.5 ไมล์ถูกทำขึ้นใหม่ตามพิมพ์ของ นายราล์ฟ ฟิตซ์ ชาวอังกฤษซึ่งเข้ามาติดต่อสื่อสารขายพร้อมทั้งได้เห็นเมืองหงสาวดีในยุคความรุ่งเรืองได้บรรยายไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2129 ก่อนที่พระราชวังหงสาวดีซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างงดงามงามจะจะถูกเผาทำลายลงในปี พ.ศ. 2143 พระพุทธไสยาสน์ชเวทาลยวง ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ระดับสองของเมืองหงสาวดี พระพุทธรูป องค์นี้มีความยาว 60 เมตร สูง 17 เมตร ทำขึ้นไปโดยพระเจ้ามิคทิปปะ ใน พ.ศ. 1537 พระพุทธรูปองค์นี้ได้ตากแสงอาทิตย์กรำฝนอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปีดังนั้นเสื่อมถอยลง ระหว่างนั้นก็ได้มีการบูรณะมาโดยตลอด

แต่ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบอง กำจัดมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีถูกสละร้างพระพุทธไสยาสน์ก็ถูกทอดทิ้งจนกลางคือเพียงแค่กองอิฐถูกต้นไม้ขึ้นไปปกคลุมจบสิ้น จนถึงปี พ.ศ. 2424 เมื่ออังกฤษ สร้างทางรถไฟสายพม่าใต้ จึงได้เจอพระนอนองค์นี้ จากนั้นในปี พ.ศ. 2491 หลังพม่าได้รับเอกราชก็มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง โดยทาสีพร้อมทั้งปิดทองใหม่อย่างที่เห็นในสมัยนี้ พระมหาเจดีย์ พระมหาเจดีย์ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าบุเรงนอง ในปี พ.ศ. 2103 สำหรับประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจากลังกาพร้อมทั้ง พระเจดีย์ไจปุ่น ซึ่งมีอายุมากกว่า 500 ปี ทำเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์เลี้ยวพระพักตร์ไปทุกทิศทาง แทนความหมายถึง พระพุทธเจ้า ทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัป ได้เวลาสมควรนำท่านเดินกลับสู่กรุงย่างกุ้ง

ทำความรู้จักกับ อิสตันบูล นครหลวงตุรกี

turkey-004

หากหากทีมงานทัวร์ตุรกี  ถามคำถามหนึ่งคำว่า ท่านรู้จักเมืองอิสตันบูลหรือไม่ ?” ก็จะมีหลายคนตอบว่า รับรู้บ้าง ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งก็ไม่แปลก  แต่ในเมื่อฉันกำลังจะน่าจะเดินทางไปเที่ยวประเทศตุรกี..จะอาจตอบว่าไม่รู้จักอิสตันบูลเลยก็คงดูตลก จนกระทั่งผมเลยขอเชิญชวนข้อมูลเมืองอิสตันบูลให้ท่านแบบย่อ ตามด้านส่วนล่างนี้เลย

อิสตันบูล คือเมืองที่มีความสำคัญที่สุดพร้อมทั้งคือเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเยอะที่สุดในตุรกี อิสตันบูล ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเมืองพิเศษของชนเผ่าปริมาณมากมายในพื้นที่นั้น จึงส่งผลให้อิสตันบลู มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเป็นต้นว่า ไปแซนเทียม คอนสแตนติโนเปิล สแตมโบล เป็นต้น

บริเวณ : ทิศเหนือจรดทะเลดำ (Black Sea ) ทิศตะวันออกติดกับโคจาเอลลี (Kocaeli )พร้อมด้วยทะเลมาร์มารา (Marmara) ฝั่งตะวันตกติดกับ เทคีร์ดาค์ ( Tekirdag ) พร้อมด้วยคีร์คลาเรลี (Kirklareli ) มีบริเวณรวมเกาะมาร์มารา (Marmara Island ซึ่งได้สมญานามว่าเป็นเกาะเจ้าชาย Princess’Island 5,712 ตารางกิโลเมตร

อิสตันบลูเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีอาณาเขตอยู่ใน 2 ทวีปคือทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลียน) พร้อมด้วยทวีปยุโรป (ฝั่ง Trace ของบอกฟอรัส) โดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา พร้อมด้วยช่องแคบ ดาร์ดาแนลส์

ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบลูเก่า พร้อมด้วยอิสตันบลูใหม่ โดยมีโกลเดนฮอร์นคันอยู่ (Golden Hornเป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์ เมื่อยามวีคอุทัยและอัสดงแสงจะน่าจะอาบลำน้ำคือประกายระยิบระยับราวทองคำ ) เมืองที่ถูกแบ่งแล้วคือสตัมบลู (Stambul )ทางด้านใต้ พร้อมกับทางกาลาตา (Galata )กับเบโยหลุ (Beyoglu) ทางด้านเหนือ

ภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูหนาวจะอาจจะไม่หนาวเย็นเยอะแยะ แต่มีฝน ฤดูร้อน อากาศจะก็จะร้อนพร้อมกับแห้ง อุณหภูมิของกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันหลากหลายนักเฉลี่ยแล้วหิมะตกประมาณ 7 วันต่อปี

อิสตันบลูมีแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดไหลผ่านอิสตันบลูคือ แม่น้ำริวา (Riva) มีปลายทางที่ทะเลดำ พร้อมทั้งยังมีแม่น้ำอิสทินเย    ( Istinye Deresi ) และบูยุค (Buyuk Menderes ใช่หรือไม่ที่ร็จักในชื่อ Maeander)ไหลลงสู่ช่องแคบบอสฟอรัส

อิสตันบลูเป็นเมืองท่าพาณิชย์ที่สำคัญ มีมนุษย์ทั้งสิ้นประมาณ 8,803,468 ล้านคน

ชมพระราชวังฤดูร้อน อี้เหอหยวนของซูสีไทเฮา

china-0011

หลายท่านไปเที่ยวกับทัวร์จีนแอบเหน็บมาว่าอย่างกับไปเที่ยวตามรอยหนังจีน และวันนี้ก็เช่นเดียวกันทัวร์จีนกำลังจะพาท่านไปชมความงามของพระราชวังฤดูร้อนของพระนางซูสีไทเฮา ที่มีชื่อว่า อี้เหอหยวน นั่นเอง

               ตั้งอยู่ในเขตไห่เตี้ยน ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร พระราชวังแห่งนี้เป็นวังกึ่งอุทยานที่สวยงามมาก สร้างขึ้นประมาณ 800 ปีแล้วสมัยราชวงศ์จิ๋น แต่ผู้ที่ทำให้สิ่งก่อสร้างในนี้สวยงามเป็นที่เลื่องลือ ก็คือพระนางซูสีไทเฮาแห่งราชวงศ์ชิง อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ชื่อเดิมมีเปลี่ยนกันไปหลายชื่อ แต่พระนางตั้งชื่อให้ใหม่ว่า อี้เหอหยวน แปลว่าอุทยานเพื่อพลานามัยอันผสมกลมกลืนกันได้ด้วยดี

เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณ สิ่งแรกที่เห็นคือทะเลสาบกว้างใหญ่ ซึ่งเกิดจากแรงงานคนขุดขึ้นมา แล้วเอาดินที่ขุดพูนขึ้นไปเป็นเนินเขาข้างทะเลสาบนั้นเอง ผู้สร้างคือฮ่องเต้เฉียนหลง ใช้ในการฝึกซ้อมทัพเรือ สวนสาธารณะ “อี้เหอหยวน” หรือวังฤดูร้อน ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง เป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด 2.9 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นทะเลสาบคุนหมิง ประกอบด้วยเนื้อที่ที่เป็นนํ้า 3 ส่วน เนื้อที่ที่เป็นดิน 1 ส่วน

เมื่อศตวรรษที่ 12 จักรพรรดิองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์จินทรงมีพระราชโองการให้สร้างที่ประทับแรมขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก ต่อมาในหลายราชวงศ์มีการสร้างเสริมเติมต่อหลายครั้ง พระจักรพรรดิเฉียงหรงแห่งราชวงศ์ชิงทรงมีพระราชโองการให้สร้างขยายอุทยานแห่งนี้ให้กว้างออกไปและทรงให้ชื่อว่า อุทยาน “ชิงอีหยวน” เมื่อ ค.ศ. 1860 อุทยานแห่งนี้ถูกทหารพันธมิตร อังกฤษ – ฝรั่งเศสเผาทําลาย ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1888 พระนางซูสีได้ใช้งบประมาณกองทัพเรือของชาติซี่งเป็นเงินแท่ง 5 ล้านตําลึงมาสร้างอุทยานนี้ขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น “อี้เหอหยวน” อุทยานนี้มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลก ก็ด้วยมีทิวทัศน์สวยงาม

อุทยานอี้เหอหยวนประกอบด้วยสองส่วนคือ เขา “ว่านโซ่วซาน” และ ทะเลสาบ “คุนหมิงหู” บนเขาว่านโซ่วซานได้สร้างวิหาร ตำหนัก พลับพลา และเก๋งจีนอันงดงามไว้หลายรูปหลายแบบ ตั้งอยู่ลดหลั่นรับกันกับภูมิภาพ ที่เชิงเขามีระเบียงทางเดินที่มีระยะทางไกลถึง ๗๒๘ เมตร ลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบคุนหมิงหู ในทะเลสาบคุนหมิงหูมีเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง มี สะพาน 17 โค้งอันสวยงามเชื่อมติดกับฝั่ง ทั่วทั้งอุทยานจัดไว้ได้สัดส่วนงดงามตระการตาซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของศิลปะในการสร้างอุทยานของจีน

ปีค.ศ.1860 สวนชิงอีหยวนถูกเผาทำลายโดยกองทหารอังกฤษและฝรั่งเศส ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1866 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น อี๋เหอหยวนต่อมาได้ถูกกองทหารพันธมิตรของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม 8 ประเทศ เผาทำลายอีกครั้งในปีค.ศ.1900 หลังจากนั้นราว 3 ปี จึงมีการบูรณะขึ้นอีกครั้ง

ปีค.ศ.1908 ภายหลังที่พระนางซูสีไทเฮาและจักรพรรดิกวงสูเสด็จสวรรคต พระราชวังฤดูร้อนที่ผ่านมรสุมมายาวนานก็ได้ยุติการรับใช้ราชสำนักชิง และเมื่อปีค.ศ.1911 ปีที่การปฏิวัติซินไฮ่ ล้มล้างราชสำนักแมนจูอุบัติขึ้น สวนแห่งราชสำนักอี๋เหอหยวนก็ได้ปิดฉากลง ตามการล่มสลายของราชวงศ์ชิง ก่อนที่จีนจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ และได้รับการประกาศเป็นสวนสาธารณะในปี ค.ศ. 1924 โดยอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาเที่ยวชมได้

ภูเขาไฟฟูจิ

japan-034

สำหรับคนที่มีโอกาสได้ไปทัวร์ญี่ปุ่นมาแล้วเชื่อว่าสถานที่ๆ หนึ่งที่ทุกคนต้องได้ไปและปรารถนาว่าอยากกลับมาอีกครั้งหากได้มาที่ญี่ปุ่นอีกคงหนีไม่พ้นภูเขาไฟฟูจิอย่างแน่นอน เพราะด้วยความยิ่งใหญ่อลังการและความสวยงามอันกำเนิดจากธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งจึงทำให้ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สวยงามที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกเลยทีเดียว

               ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นโดยมีความสูงประมาณ 3,776 เมตรครอบคลุมอาณาเขตของจังหวัดซึซึโอกะและจังหวัดยะมะนะซิซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงโตเกียวและด้วยความใหญ่โตของภูเขาไฟฟูจินี้เองจึงทำให้เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกได้อย่างชัดเจนจากกรุงโตเกียวในวันที่ท้องฟ้ามีบรรยากาศสดใส

               สำหรับชื่อเรียกภูเขาไฟฟูจิที่เรียกกันว่า “ฟูจิซัง” นั้นก็สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อนได้มีกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นได้ขึ้นมาเยี่ยมชมและเห็นว่าภูเขาลูกนี้มีลักษณะคล้ายกับเด็กน้อยจึงได้เรียกชื่อว่า “ฟูจิซัง” ส่วนที่มาของชื่ออีกตำนานหนึ่งของคำว่าฟูจิซังก็คือในสมัยก่อนตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นภาษาโบราณเรียกภูเขาไฟฟูจิว่าฟูจิยะมะแต่เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3  สามารถอ่านได้ทั้งคำว่ายะมะ และ ซัง ดังนั้นจึงมีคนเรียกเป็น ฟูจิซัง นั่นเอง

               ปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2556 นี้เองและยังเปิดให้นักท่องเที่ยวและกรุ๊ปทัวร์ทั้งทัวร์ญี่ปุ่นและทัวร์ต่างชาติได้เข้าเยี่ยมชมตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดจากรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นเหมือนดังเช่นทุกปีครับ

ไปเที่ยวเกาหลีฤดูไหนดี

korea-064

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วสำหรับคนที่คิดจะไปทัวร์เกาหลีครับว่าประเทศเกาหลีนั้นเป็นประเทศที่มีฤดูทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งในแต่ฤดูก็จะมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันไปรวมถึงเทศกาลประเพณีในแต่ละฤดูที่แตกต่างกันอีกด้วยดังนั้นจึงมีคำถามสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะคิดทัวร์เกาหลีว่าถ้าเช่นนั้นแล้วเราควรจะไปเที่ยวช่วงไหนของปีดีจึงจะคุ้มค่าและชมความสวยงามได้ดีที่สุดดังนั้นในตอนนี้จึงขอเอาใจคนที่กำลังคิดจะไปทัวร์เกาหลีด้วยเรื่องราวของสภาพอากาศแต่ละฤดูของประเทศเกาหลีครับ

ฤดูแรกที่จะพูดถึงก็คือฤดูร้อนของที่เกาหลีจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ภูมิทัศน์โดยทั่วไปมองไปทางไหนก็เขียวขจี อุณหภูมิอยู่ระหว่างประมาณ 20-35 องศาเซลเซียส

ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิจะเริ่มลดต่ำลงมาอยู่ระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส ท้องฟ้าแจ่มใส ใบไม้เริ่มเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง สีทอง สีแดง และสีน้ำตาล ก่อนที่จะร่วงหล่นลงมาเป็นกองๆในช่วงท้ายๆของเดือนพฤศจิกายน เหลือไว้แต่เพียงกิ่งก้าน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงทีเหมาะสมแก่การไปเที่ยวเกาหลีมากที่สุด

ฤดูหนาวจะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิจะติดลบถึง -10 องศาเซลเซียส ถ้าจะไปเที่ยวเกาหลีช่วงนี้ เสื้อผ้า เครื่องกันหนาวเตรียมให้พร้อม

ส่วนฤดูที่ 4 ฤดูสุดท้ายคือฤดูใบไม้ผลินั้นจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ต้นไม้จะเริ่มผลิใบและออกดอกท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดด อากาศเริ่มอบอุ่น โดยอุณหภูมิอยู่ประมาณ 10-19 องศาเซลเซียส การท่องเที่ยวก็สวมเสื้อผ้าสบายๆเวลากลางวันก็เริ่มยาวนานขึ้น สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็ยืดเวลาเปิดออกไปถึง 18.00 น.

ทัวร์อินเดียไม่ไปไม่ได้แล้วกับ 9 สถานที่ทรงเสน่ห์ในอินเดีย ที่คุณไม่ควรพลาด

          india-003

        อินเดีย…เป็นอีกประเทศที่เก่าแก่และมีเสน่ห์มนต์ขลังไม่แพ้ชาติใดในโลก จึงไม่แปลกหากประเทศแห่งนี้ จะเป็นอีกสถานที่ซึ่งใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันจะไปสัมผัสกับความงามด้วยตาตัวองสักครั้ง อย่างไรก็ตาม หากคุณมีโครงการจะไปอินเดียเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่รู้จะวางแผนการเที่ยวอย่างไรดี วันนี้ทัวร์อินเดียได้รวบรวมสถานที่เที่ยวน่าสนใจของอินเดียมาฝาก เพื่อเอาใจคุณโดยเฉพาะ ใครที่สนใจก็ลองไปอ่านกันดูเลย

 1. ทัชมาฮาล สัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์

          แน่นอนว่า ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เมืองอักรานั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจอยากเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นอันดับต้น ๆ เมื่อไปเยี่ยมชมประเทศอินเดียแน่นอน เพราะนอกจากจะมีความประณีตสวยงามราวกับภาพวาด จนได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในมรดกโลกแล้ว ทัชมาฮาลยังเป็นตัวแทนของความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีวันเสื่อมคลายของ จักรพรรดิ ชาห์ ชหานชีร์ ที่สร้างแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักของพระองค์อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ทองเที่ยวที่โรแมนติกสุด ๆ

2. เยี่ยมชม ออโรวิลล์ เมืองในอุดมคติ

          ออโรวิลล์ (Auroville) เมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1968 โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นเมืองที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยไม่เกี่ยงเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรือการเมือง โดยสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ เป็นผลงานการออกแบบของ โรเจอร์ แองเกอร์ สถาปนิกชาวฝรั่งเศส สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จึงเน้นไปที่เสน่ห์ของการผสมผสานระหว่างศิลปะแนวโมเดิร์นของฝั่งตะวันตกกับศิลปะดั้งเดิมของทางอินเดียเป็นหลัก

3. แวะชมธรรมชาติสวย ๆ ที่ดาร์เจียลิง

          หากคุณคิดว่าจะพบแต่ความร้อนระอุแห้งแล้งที่ประเทศอินเดียล่ะก็ผิดถนัด เพราะที่อินเดียนั้นก็มีสถานที่ร่มรื่นให้คุณได้พักผ่อนชื่นชมธรรมชาติสวย ๆ เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถหาชมสิ่งเหล่านี้ได้ที่ ดาร์เจียลิง (Darjeeling) แหล่งปลูกชาของอินเดีย ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ที่มีให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมไม่รู้เบื่อ

4. สัมผัสเสน่ห์เมืองมุมไบ

          เป็นอีกหนึ่งเมืองที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยี่ยมชมประเทศอินเดีย โดยเฉพาะสำหรับคอหนังทั้งหลาย เพราะเป็นเมืองที่มีโรงภาพยนตร์ IMAX ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งที่นักช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาดอีกด้วย